
บ้านทรุด เป็นหนึ่งในปัญหาที่เจ้าของบ้านไม่อยากเผชิญ แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับบ้านทุกหลัง ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่สร้างมานาน หรือบ้านที่เพิ่งสร้างเสร็จ ปัญหานี้อาจเริ่มจากจุดเล็ก ๆ แต่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและโครงสร้างโดยรวมอย่างมาก
หลายคนอาจสงสัยว่าบ้านทรุดแก้ยังไง หรือมีวิธีแก้บ้านทรุดแบบไหนที่ได้ผลจริง ALVIS จะพาคุณไปทำความเข้าใจสาเหตุที่ทำให้บ้านทรุด พร้อมแนวทางรับมืออย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่
บ้านทรุดคืออะไร? สาเหตุมีอะไรบ้าง?

บ้านทรุด คือภาวะที่พื้นบ้านหรือโครงสร้างของบ้านเกิดการทรุดตัวต่ำลงจากระดับเดิม ซึ่งมักจะเกิดจากปัญหาของฐานรากหรือสภาพดินใต้บ้านที่อ่อนตัวมากกว่าปกติ เมื่อเวลาผ่านไป ดินที่เคยรับน้ำหนักได้เกิดการยุบตัว จนทำให้บ้านทรุดตัวลงไม่เท่ากัน อาจเกิดเป็นรอยร้าวตามผนัง เสา หรือพื้น บางกรณีอาจเกิดเป็นโพรงใต้พื้น ซึ่งเรียกว่าบ้านทรุดเป็นโพรง หากปล่อยไว้นานโดยไม่แก้ไข อาจกระทบต่อความมั่นคงของโครงสร้างบ้านได้โดยตรง
1. น้ำหนักบ้านเกินโครงสร้างรับไหว
หนึ่งในสาเหตุหลักของบ้านทรุดคือการรับน้ำหนักมากเกินไป โดยเฉพาะบ้านที่มีการต่อเติมโดยไม่ได้คำนวณน้ำหนัก เช่น ต่อเติมครัว ปูกระเบื้องใหม่ หรือเพิ่มชั้นลอย ทำให้ฐานรากและเสาเข็มรับแรงเกินขีดจำกัด จนบ้านทรุดตัวลงอย่างช้า ๆ บ้านที่มีน้ำหนักมาก เช่น แบบบ้าน 2 ชั้น หากไม่ได้ออกแบบฐานรากให้เหมาะสม อาจเกิดการทรุดไม่เท่ากันจนพื้นบ้านเอียง การวางแผนโครงสร้างตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันปัญหาบ้านทรุด
2. สภาพพื้นดินและดินทรุดตัวตามธรรมชาติ
สภาพของดินเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้บ้านทรุด โดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยเป็นบ่อ หรือดินอ่อน มักจะเกิดการยุบตัวได้ง่ายเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ อาจเกิดเป็นดินทรุดรอบบ้าน ทำให้พื้นดินใต้บ้านหายไปบางส่วน และเกิดการทรุดตัวของฐานราก มักจะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ แล้วลามไปทั่วทั้งหลัง หากดินยุบไม่เท่ากัน บ้านจะเอียงและเกิดรอยร้าวในแนวดิ่ง การตรวจสอบคุณสมบัติดินก่อนก่อสร้างจึงช่วยลดความเสี่ยงได้มาก
3. เสาเข็มสั้น หรือฐานรากไม่ได้มาตรฐาน
การเลือกใช้เสาเข็มที่สั้นเกินไปหรือไม่ได้ตอกถึงชั้นดินแข็ง เป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านทรุดในระยะยาว โดยเฉพาะบ้านที่มีน้ำหนักมาก เช่น บ้าน 3 ชั้น ซึ่งต้องการเสาเข็มยาวและแข็งแรงกว่าบ้านชั้นเดียว หากใช้เสาเข็มผิดประเภท บ้านจะเริ่มทรุดในบางจุดก่อน เช่น มุมบ้านหรือแนวผนัง เมื่อเวลาผ่านไปการทรุดจะขยายวงกว้างจนกระทบต่อเสถียรภาพของโครงสร้าง การทำฐานรากให้เหมาะสมก่อนสร้างบ้านจึงสำคัญอย่างยิ่ง
4. น้ำท่วมขังหรือน้ำใต้ดินมีการเปลี่ยนแปลง
พื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน จะทำให้ดินอ่อนตัวและสูญเสียความหนาแน่น เมื่อดินถูกชะล้างออกใต้ฐานรากจึงเกิดช่องว่างหรือโพรงใต้บ้าน ซึ่งทำให้บ้านทรุดเป็นโพรง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำใต้ดิน เช่น การสูบน้ำออกจากบ่อ หรือการขุดพื้นที่ใกล้เคียง ยังทำให้แรงดันดินเปลี่ยนแปลง บ้านจึงทรุดได้ง่ายขึ้น การระบายน้ำรอบบ้านให้ดี และการปรับระดับพื้นที่ให้เหมาะสม เป็นวิธีช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาบ้านทรุดได้
5.ประตูและหน้าต่างเริ่มฝืด หรือปิดไม่สนิท
ประตูและหน้าต่างเริ่มฝืดหรือปิดไม่สนิท ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่ประตูหรือหน้าต่างที่เริ่มฝืดมักเป็นสัญญาณเตือนของบ้านทรุด เนื่องจากเมื่อโครงสร้างบิดตัว วงกบจะเอียงและปิดไม่สนิท การเกิดในลักษณะนี้บ่งบอกว่าพื้นหรือฐานรากกำลังทรุดตัวในบางจุด
หากปล่อยให้ประตู หน้าต่างฝืดโดยไม่แก้ไข จะทำให้บ้านทรุดรุนแรงขึ้นจนเกิดรอยร้าวบนผนังและพื้นได้ การตรวจสอบระดับพื้นและแนวผนังเป็นระยะ จึงจะช่วยให้รู้เท่าทันปัญหา ก่อนลุกลามไปถึงโครงสร้างบ้าน
6. ท่อน้ำหรือระบบระบายน้ำชำรุด
ท่อน้ำรั่วใต้ดินหรือระบบระบายน้ำที่ชำรุดทำให้เกิดการชะล้างของดินใต้บ้าน เมื่อดินหายไปบางส่วน พื้นจะเริ่มยุบและกลายเป็นโพรงจนบ้านทรุดในที่สุด หากเป็นบริเวณใกล้เสาเข็มหรือฐานราก ความเสียหายจะรุนแรงกว่าเดิม
ปัญหาบ้านทรุดจากสาเหตุนี้มักไม่เห็นสัญญาณเตือนในทันที แต่จะค่อย ๆ ทรุดลงในช่วงหลายปี การตรวจสอบระบบน้ำและท่อระบายน้ำทุกปีจึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยลดโอกาสเกิดบ้านทรุด และป้องกันไม่ให้ปัญหารุนแรงขึ้น
บ้านทรุด มีสัญญาณเตือนอะไรบ้าง?
เมื่อบ้านทรุดมักจะมีสัญญาณเตือนให้เห็นล่วงหน้า หากสังเกตให้ดีจะช่วยให้สามารถแก้ไขได้ก่อนที่ความเสียหายจะลุกลามไปถึงโครงสร้างหลักของบ้าน โดยสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าบ้านทรุดลง มีดังนี้
1. ประตู หน้าต่าง ปิดไม่สนิท หรือตกร่อง
สัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าบ้านทรุดที่สามารถสังเกตได้ง่ายคือ ประตูและหน้าต่างเริ่มปิดยาก ตกร่อง หรือมีช่องว่างระหว่างวงกบกับบานประตู เมื่อบ้านเกิดการทรุดตัว พื้นและผนังจะเอียงเล็กน้อยจนทำให้วงกบเบี้ยว การปิดเปิดจึงไม่สนิทเหมือนเดิม หากปล่อยไว้โดยไม่แก้ไข อาจทำให้บ้านเอียงทั่วบริเวณได้
2. มีรอยร้าวบนผนัง พื้น หรือเสา
รอยร้าวเป็นสัญญาณที่พบได้บ่อยที่สุดหากบ้านทรุด โดยเฉพาะรอยร้าวเฉียง 45 องศาบนผนังหรือบริเวณขอบประตู หน้าต่าง เพราะเกิดจากแรงดึงและการบิดตัวของโครงสร้างบ้าน รอยร้าวที่ขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ นั้นอาจบ่งบอกว่าฐานรากกำลังทรุดตัวไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องรีบตรวจสอบโดยวิศวกร เพราะถ้าหากปล่อยไว้นาน บ้านอาจทรุดเป็นโพรงใต้พื้น ส่งผลต่อความมั่นคงของเสาและผนังได้ในระยะยาว
3. พื้นดินรอบบ้านยุบ เป็นโพรง หรือมีน้ำขังผิดปกติ
เมื่อเกิดดินทรุดรอบบ้านมักจะตามมาด้วยการยุบตัวของพื้นที่ใกล้ฐานราก โดยอาจเห็นเป็นหลุมเล็ก ๆ หรือโพรงใต้พื้นบ้าน สาเหตุอาจมาจากการชะล้างของน้ำฝน การรั่วของท่อน้ำใต้ดิน หรือโครงสร้างฐานรากที่อ่อนตัวลง หากพบว่าพื้นรอบบ้านยุบหรือมีน้ำขังเป็นเวลานาน ควรรีบตรวจสอบทันที เพราะอาจหมายถึงฐานรากกำลังเกิดการทรุดตัว และหากปล่อยไว้อาจทำให้บ้านทรุดเป็นโพรงขยายใหญ่ขึ้นจนเกิดความเสียหายรุนแรง
4. พื้นบ้านเอียง หรือเฟอร์นิเจอร์ตั้งไม่ตรง
อีกหนึ่งสัญญาณที่ชัดเจนของบ้านทรุดคือ พื้นบ้านเอียง โดยสามารถสังเกตได้ง่ายจากเฟอร์นิเจอร์ เช่น ตู้ โต๊ะ หรือชั้นวางของที่ตั้งแล้วไม่ตรง หรือกลิ้งของบนพื้นแล้วไหลไปด้านใดด้านหนึ่งอยู่เสมอ ปัญหานี้เกิดจากการทรุดของเสาเข็มหรือฐานราก ซึ่งหากไม่รีบแก้ไขอาจลุกลามไปยังผนังและเสาโครงสร้าง การตรวจสอบระดับพื้นด้วยเครื่องวัดระดับน้ำเป็นประจำ จะช่วยให้รู้ได้เร็วว่าบ้านเริ่มมีการทรุดตัวหรือไม่
สำหรับคนที่สงสัยว่าบ้านทรุดจะถล่มไหม? คำตอบคือ หากบ้านทรุดเพียงเล็กน้อยมักจะยังไม่ถึงขั้นถล่ม แต่หากเกิดบ้านทรุดเป็นโพรงขนาดใหญ่ หรือดินทรุดรอบบ้านอย่างรุนแรงจนกระทบถึงฐานราก ควรรีบให้ผู้เชี่ยวชาญเข้าตรวจสอบโดยด่วน เพื่อป้องกันความเสียหายและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้อยู่อาศัย
วิธีแก้ปัญหาบ้านทรุดอย่างถูกวิธี ทำอย่างไรบ้าง?

เมื่อพบปัญหาบ้านทรุด อย่ามองข้ามหรือรีบซ่อมแซมเองโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญ เพราะอาจแก้ไขไม่ตรงจุดและทำให้บ้านเสียหายมากขึ้น การแก้ปัญหาบ้านทรุดที่ถูกต้องควรทำตามขั้นตอนและผ่านการประเมินจากผู้รู้ เพื่อให้โครงสร้างบ้านกลับมาแข็งแรง ปลอดภัยในการอยู่อาศัยอีกครั้ง
1. ปรึกษาวิศวกรโครงสร้างเพื่อตรวจสอบสาเหตุจริง
ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการแก้ปัญหาบ้านทรุด คือการให้วิศวกรโครงสร้างเข้ามาตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้บ้านทรุด โดยวิศวกรจะใช้เครื่องมือวัดระดับ ตรวจสอบรอยร้าว และวิเคราะห์แนวทางซ่อมแซมที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุด โดยเฉพาะในแบบบ้านโมเดิร์น ที่มักใช้โครงสร้างหลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีน้ำหนักมากโครงสร้างหลังคาแบบอื่น การประเมินโครงสร้างอย่างละเอียดจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการบิดงอหรือแตกร้าวของบ้านในอนาคต
2. ดีดบ้านหรือปรับฐานรากให้ได้ระดับเดิม
หากตรวจพบว่าบ้านทรุดเกิดจากฐานรากทรุดตัวไม่เท่ากัน การดีดบ้านหรือปรับฐานราก เป็นหนึ่งในวิธีแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ โดยช่างจะใช้เครื่องมือไฮดรอลิกยกตัวบ้านขึ้นให้ได้ระดับเดิม จากนั้นปรับฐานรากและเสริมคอนกรีตให้มั่นคง
วิธีนี้เหมาะกับบ้านที่มีการทรุดตัวเฉพาะจุดไม่เกิน 20-30 เซนติเมตร แต่ต้องทำโดยทีมช่างที่มีประสบการณ์ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อผนัง หรือเสาโครงสร้างขณะยกตัวบ้านขึ้น
3. ถมดินหรือเทคอนกรีตปิดโพรงใต้บ้าน
อีกหนึ่งวิธีที่ใช้บ่อยในการแก้ปัญหาบ้านทรุด คือ การถมดิน หรือเทคอนกรีตปิดโพรงใต้บ้าน โดยเฉพาะในกรณีที่พบว่าพื้นใต้คานคอดินเกิดการยุบตัว หรือกลายเป็นโพรงจากการชะล้างของน้ำ การปรับพื้นดินรอบบ้านให้แน่นและเทคอนกรีตเสริมทับจะช่วยป้องกันไม่ให้ดินทรุดซ้ำ รวมถึงลดโอกาสที่น้ำจะขังหรือซึมเข้าพื้นที่ใต้บ้าน
นอกจากนี้ การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูง เช่น ดินลูกรัง หรือคอนกรีตผสมเสร็จ จะช่วยให้พื้นดินมีความแข็งแรง และรองรับน้ำหนักโครงสร้างได้ดียิ่งขึ้น
4. ลงเสาเข็มใหม่ หรือเสริมเสาเข็มไมโครไพล์
หากต้นเหตุของบ้านทรุดมาจากเสาเข็มที่ไม่ได้มาตรฐาน การลงเสาเข็มใหม่หรือเสริมเสาเข็มไมโครไพล์ถือเป็นทางออกที่เหมาะสม เพราะเสาเข็มไมโครไพล์มีขนาดเล็ก สามารถเจาะเสริมเข้าไปใต้ฐานบ้านเดิมได้ โดยไม่ต้องรื้อถอนบ้านทั้งหลัง เหมาะกับพื้นที่จำกัดและบ้านที่มีผู้อยู่อาศัย
การลงเสาเข็มใหม่จะช่วยเพิ่มความมั่นคงให้ฐานราก ลดโอกาสเกิดการทรุดตัวซ้ำ และสามารถรองรับน้ำหนักโครงสร้างได้อย่างปลอดภัยในระยะยาว
5. ฉีดวัสดุอุดรอยร้าวหรืออัดยางกันซึมในจุดที่เสียหาย
เมื่อบ้านทรุดตัวลง มักตามมาด้วยรอยร้าวตามผนังหรือพื้นบ้าน ซึ่งหากปล่อยไว้จะทำให้น้ำรั่วซึมหรือโครงสร้างเสื่อมเร็วขึ้น การฉีดวัสดุอุดรอยร้าว เช่น โพลียูรีเทน หรืออัดยางกันซึม จะช่วยอุดช่องว่างและป้องกันน้ำซึมเข้าโครงสร้าง วิธีนี้เหมาะกับการซ่อมแซมเฉพาะจุด และช่วยยืดอายุการใช้งานของบ้าน
อย่างไรก็ตาม หากพบว่ารอยร้าวขยายกว้าง หรือมีการแยกตัวของผนัง ควรให้วิศวกรตรวจสอบทันที เพราะอาจหมายถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรง
ปัญหาบ้านทรุด ปล่อยไว้นาน ส่งผลเสียอะไรบ้าง?
- โครงสร้างบ้านบิดตัว ทำให้เกิดรอยร้าวเพิ่มขึ้น เมื่อบ้านทรุด จะทำให้โครงสร้างบ้านบิดตัวไม่สมดุล ส่งผลให้ผนัง พื้น และเสาเกิดรอยร้าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่รีบแก้ไขอาจลุกลามไปถึงโครงสร้างหลักของบ้าน
- ระบบประปาและไฟฟ้าเสียหาย การที่บ้านทรุดตัวลง ทำให้ท่อน้ำและสายไฟที่ฝังอยู่ในผนังหรือใต้พื้นเกิดการบิดงอหรือแตกหัก จนเกิดการรั่วซึมหรือไฟช็อต ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อทั้งบ้านและผู้อยู่อาศัย
- มูลค่าทรัพย์สินลดลงบ้านที่เกิดปัญหาบ้านทรุด มักจะมีรอยร้าวหรือพื้นเอียง ทำให้บ้านดูทรุดโทรมและขายต่อยาก ส่งผลต่อมูลค่าทรัพย์สิน และภาพลักษณ์ของบ้านในระยะยาว
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการพังทลายของโครงสร้าง หากปล่อยให้บ้านทรุดไว้นานโดยไม่ซ่อมแซม โครงสร้างจะเสียสมดุลและรับน้ำหนักได้ไม่เท่ากัน จนมีความเสี่ยงต่อการพังเสียหาย ซึ่งเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยอย่างมาก
บ้านทรุดไม่ใช่เรื่องเล็ก สัญญาณเตือนและทางแก้ที่เจ้าของบ้านควรรู้
ปัญหาบ้านทรุดเป็นเรื่องที่ควรเฝ้าระวัง เพราะอาจส่งผลต่อโครงสร้างบ้านและความปลอดภัย การสังเกตสัญญาณเตือนและแก้ไขอย่างถูกวิธีจะช่วยลดความเสียหายได้ในระยะยาว
ALVIS บริษัทรับสร้างบ้านกรุงเทพ พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบบ้านที่ปลอดภัย ตรงใจลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นแบบบ้านโมเดิร์น บ้าน 2 ชั้น หรือบ้าน 3 ชั้น เลือกใช้บริการรับสร้างบ้านจาก ALVIS เรามีทีมวิศวกรและช่างฝีมือดูแลงานอย่างใกล้ชิด ให้บ้านของคุณมั่นคง แข็งแรง ลดความเสี่ยงบ้านทรุด เป็นรากฐานความสุขที่สมบูรณ์แบบ
สามารถติดต่อหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
- FB : ALVIS design & construction
- IG: alvisdecons
- Line : @alvisdecons
- Tel : ติดต่อสำนักงาน 02-491-6399
- ติดต่อบุคคล 064-494-4156
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
บ้านทรุดแบบไหนอันตรายสุด?
บ้านทรุดที่อันตรายที่สุดคือกรณีที่ฐานรากทรุดไม่เท่ากันจนโครงสร้างบิดตัว มีรอยร้าวกว้าง หรือพื้นแยกจากผนัง ซึ่งอาจกระทบถึงเสาและคานหลักจนเสี่ยงต่อการพังทลายของบ้านได้
บ้านทรุดกับบ้านเอียงต่างกันไหม?
บ้านทรุด คือการที่พื้นหรือฐานรากยุบตัวลง ส่วนบ้านเอียงคือการที่โครงสร้างทั้งหลังเอนหรือเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งจากการทรุดตัวไม่เท่ากัน ทั้งสองกรณีล้วนเป็นสัญญาณอันตรายที่ควรรีบตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญทันที



